การถ่ายละอองเรณู
1. การถ่ายละออกเรณูของพืชดอก (Pollination)
การถ่ายละอองเรณู หมายถึง ปรากฏการณ์ที่ละอองเรณูปลิวมาตกบนยอดเกสรตัวเมียของดอกชนิดเดียวกัน
การถ่ายละออกเรณูเกิดขึ้นเมื่อละอองเรณูเจริญเต็มที่อับเรณูจะแตกออกทำให้ละอองเรณูกระจายออกไปโดยอาศัยลม น้ำ โดยเฉพาะ แมลง มีความสำคัญมากในการถ่ายละอองเรณูของพืชดอกและบนยอดเกสรตัวเมียโดยจะมีน้ำเหนียวๆ(Stigma) ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ซึ่งช่วยในการดักละอองเรณู
การถ่ายละอองเรณู มี 2 แบบ คือ
การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกันหรือคนละดอกในต้นเดียวกัน (Self pollination) การถ่ายละอองเรณูแบบนี้จะทำให้รุ่นลูกมีสมบัติทางกรรมพันธุ์เหมือนเดิม ถ้าเป็นพันธุ์ดีก็จะถ่ายทอดลักษณะพันธุ์ดีไปเรื่อย ๆ
การถ่ายละออกเรณูคนละดอกของต้นไม้คนละต้นในพืชนิดเดียวกัน (Cross pollination) เป็นการถ่ายละอองเรณูแบบข้ามดอก หรือต่างต้นกันก็จะทำให้พืชมีลักษณะต่างๆ หลากหลายและอาจจะได้พืชพันธุ์ใหม่ ๆขึ้นมาได้
1. การถ่ายละออกเรณูของพืชดอก (Pollination)
การถ่ายละอองเรณู หมายถึง ปรากฏการณ์ที่ละอองเรณูปลิวมาตกบนยอดเกสรตัวเมียของดอกชนิดเดียวกัน
การถ่ายละออกเรณูเกิดขึ้นเมื่อละอองเรณูเจริญเต็มที่อับเรณูจะแตกออกทำให้ละอองเรณูกระจายออกไปโดยอาศัยลม น้ำ โดยเฉพาะ แมลง มีความสำคัญมากในการถ่ายละอองเรณูของพืชดอกและบนยอดเกสรตัวเมียโดยจะมีน้ำเหนียวๆ(Stigma) ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ซึ่งช่วยในการดักละอองเรณู
การถ่ายละอองเรณู มี 2 แบบ คือ
การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกันหรือคนละดอกในต้นเดียวกัน (Self pollination) การถ่ายละอองเรณูแบบนี้จะทำให้รุ่นลูกมีสมบัติทางกรรมพันธุ์เหมือนเดิม ถ้าเป็นพันธุ์ดีก็จะถ่ายทอดลักษณะพันธุ์ดีไปเรื่อย ๆ
การถ่ายละออกเรณูคนละดอกของต้นไม้คนละต้นในพืชนิดเดียวกัน (Cross pollination) เป็นการถ่ายละอองเรณูแบบข้ามดอก หรือต่างต้นกันก็จะทำให้พืชมีลักษณะต่างๆ หลากหลายและอาจจะได้พืชพันธุ์ใหม่ ๆขึ้นมาได้
ภาพแสดงละอองเรณูชนิดต่างๆ
การปฎิสนธิของพืชดอก
เมื่อละอองเรณูตกลงสู่ยอดเกสรตัวเมียละอองเรณูจะงอกท่อยาว เรียกว่า พอลเลนทิวบ์ (Pollen tube) ลงสู่ก้านเกสรตัวเมีย ทิวบ์นิวเคลียสจะเคลื่อนตัวไปตามท่อผ่านทางรูไมโครไพล์ (Micropyle) ของออวุลในขณะนี้เจเนเรทีฟนิวเคลียส (Generative nucleus) จะแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีสได้สเปิร์มนิวเคลียส (Sperm nucleus) 2 ตัว เข้าผสมกันนิวเคลียสของไข่ (Egg cell) ได้ไซโกต (2n) ซึ่งจะเจริญเป็นเอมบริโอต่อไป ส่วนอีกนิวเคลียสจะผสมกับโพลาร์นิวคลีไอ (Polar nuclei) เจริญเป็นเอนโดสเปิร์ม (3n) ซึ่งเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงเอมบริโอ
การผสมซึ่งเกิดจากการผสม 2 ครั้งนี้เรียกว่า การปฏิสนธิซ้อน (Double Fertilization) ซึ่งพบเฉพาะในพืชดอกเท่านั้น
หลังจากปฏิสนธิแล้ว
รังไข่ (ovary ) เจริญเป็นผล
ผนังรังไข่ (ovary wall ) เจริญเป็นเปลือกและเนื้อของผลไม้
ออวุล (ovule ) เจริญเป็นเมล็ด
ไข่ (egg ) เจริญเป็นต้นอ่อนอยู่ภายในเมล็ด
โพลาร์นิวเคลียส (polar nucleus ) เจริญเป็นเอนโดสเปิร์มเยื่อหุ้ม ออวุล (integument ) เจริญเป็นเปลือกหุ้มเมล็ดสำหรับส่วนประกอบอื่น ๆ ของดอกจะเหี่ยวแห้งและสลายตัวไป
การปฏิสนธิซ้อนของพืชดอกมีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นการสร้างอาหารให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ผลไม้ที่เราใช้รับประทานก็เกิดมาจากการปฏิสนธิ อาหารพวกจ้าว ข้าวโพด ก็เป็นส่วนของเอนโดสเปิร์ม อาหารในเมล็ดถั่วหลายชนิดก็เป็นอาหารที่สะสมอยู่ในใบเลี้ยงของเอมบริโอของถั่ว
ที่มา:http://www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/science04/24/pages/index3f3a.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น